HYDRAULIC
HYD เมื่อนำมาใช้กับ อากาศยานหมายถึง การส่งทอดกำลังจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยอาศัยการเคลื่อนที่ของของไหลภายใต้ความดัน (ของไหลหมายถึง HYD.)
คุณสมบัติของของไหล
· เป็นสสารที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ง่าย
· คุณสมบัติจะเปลี่ยนไปเมื่อได้รับความร้อน
· เมื่อของไหลไหลผ่านท่อ จะมีความร้อนเกิดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากความเสียดทาน
ของไหลแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1. ของไหลที่เป็นก๊าซ สามารถอัดให้เล็กลงได้ (COMPRESSIBLE FLUID)
2. ของไหลที่เป็นของเหลว ไม่สามารถอัดตัวให้เล็กลงได้ (INCOMPRESSIBLE FLUID)
** ของไหลที่นำมาใช้ในระบบ HYD คือ INCOMPRESSIBLE FLUID (HYD)
เหตุผลที่นำ HYD SYST. มาใช้กับ อากาศยาน
§ ประสิทธิภาพ (EFFICIENCY) ได้ 90% ของงานที่ได้
§ ความไว้วางใจ (DEPENDABILITY) ในขอบเขตอุณหภูมิ – 65 ํF ถึง 275 ํF
§ มีความไวในการส่งทอดการทำงาน (SENSITIVITY) ไม่ว่าท่อทางจะคดงออย่างไร การส่งทอดก็เท่าเดิม
§ มีความอ่อนตัวในการติดตั้ง (FLEXIBILITY) ติดตั้งส่วนไหนของ อากาศยานก็ได้
§ อุปกรณ์ในระบบกระทัดรัด (COMPACTSIZE) สร้างอุปกรณ์เล็กลงและตรวจง่าย
§ น้ำหนักเบา (LIGHT WEIGHT)
§ หล่อลื่นตัวเองได้ (SELF LUBRICATED)
สารหลักที่ใช้ทำ HYD มี 4 อย่าง
1. WATER- BASE
2. PETROLIUM-BASE
3. VEGETABLE-BASE (พืช) เลิกใช้แล้ว
4. SYNTHETIC-BASE (สังเคราะห์)
กฏของปาสคาล จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
- แรง
- ความดัน
- พื้นที่
** กฏของปาสคาล กล่าวว่า
· “เมื่อมีแรง (แรงดันหรือแรงดึง) มากระทำต่อของไหลซึ่งถูกกักขังไว้ ความดันนี้จะกระจายเท่ากันทั่วทุกทิศทางโดยสม่ำเสมอ”
· แรง (FORCE) คือ แรงดันหรือแรงดึงที่กระทำกริยาในแนวตั้งฉากต่อเทหวัตถุ มีหน่วยเป็นปอนด์
· ความดัน (PRESSURE) คือแรงที่กระทำกริยาในแนวตั้งฉากต่อพื้นที่หนึ่งตารางหน่วย มีหน่วยเป็น ปอนด์ต่อ ตารางนิ้ว
· พื้นที่ (AREA) คือ พื้นที่ที่วัดจากผิวหน้าตัด มีหน่วยวัดเป็นตารางนิ้ว ในระบบ HYD ส่วนมากเราหมายถึง พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบ
· ระยะทางเคลื่อนที่ (STROKE OR LENGTH) คือระยะทางที่เทหะวัตถุเคลื่อนที่ไป มีหน่วยเป็นนิ้ว (เป็นระยะทางที่ลูกสูบเคลื่อนที่ในกระบอกสูบ)
· ปริมาตร (VOLUME) คือมาตราวัดของปริมาณมีหน่วยวัดเป็น ลูกบาศก์นิ้ว
· การแทนที่ (DISPLACEMENT) คือการแทนที่ของเทหะวัตถุ 2 ชนิดขึ้นไป เช่น จำนวนของไหลถูกแทนที่โดยลูกสูบ
*** จากกฏของปาสคาล จะเขียนเป็นสูตรได้
F = AP F = แรง
A = พื้นที่
P = ความดัน
V = AL V = ปริมาตรของไหลที่ถูกลูกสูบแทนที่
A = พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบ
L = ระยะทางที่ลูกสูบเคลื่อนที่
*** การได้เปรียบเชิงกล (MECHANICAL ADVANTAGE = MA) คือ อัตราส่วนในการผ่อนแรง
MA (แรง) = แรงหรือน้ำหนักที่ยกได้ / แรงที่ใช้ = FORCE OUTPUT / FORCE INPUT
MA (ระยะทาง) = ระยะทางเคลื่อนที่ของลูกสูบตัวเล็ก / ระยะทางเคลื่อนที่ของลูกสูบตัวใหญ่
MA (พื้นที่) = พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบตัวใหญ่ / พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบตัวเล็ก
คุณสมบัติของ HYD.
¨ ไม่ขยายตัวเมื่อโดนความร้อน
¨ ไม่เหนียวหนืดเมื่ออุณหภูมิต่ำ และเป็นตัวหล่อลื่นที่ดี
น้ำมัน HYD แบ่งออกได้ตามสารหลักที่นำมาผลิต 3 อย่างคือ
ใช้น้ำมันปิโตรเลียมเป็นสารหลัก (PETROLEUM BASE) ตัวผนึกต้องทำด้วยยางเทียมหรือโลหะ
ã MIL-H-5606 สีแดง ขอบเขตอุณหภูมิระหว่าง –65 F ถึง 275 F
ã MIL-H-6083 สีแดง ใช้เป็นน้ำมันป้องกันสนิมสำหรับอุปกรณ์ HYD ขอบเขตอุณหภูมิเช่นเดียวกับ 5606
ã MIL-H-81019 สีแดง ใช้งานที่อุณหภูมิต่ำ –90 F ถึง 120 F ใช้ในกรณีฉุกเฉินแทน MIL-H-5606 ได้
ใช้น้ำมันจากพืชเป็นสารหลัก (VEGETABLE BASE) มีอยู่อย่างเดียว คือ
MIL-H-7644 สีน้ำเงิน (เลิกใช้แล้ว)
ใช้น้ำมันสังเคราะห์เป็นสารหลัก (SYNTHETIC BASE) ได้แก่
Ø MIL-H-8446 สีทอง ทนอุณหภูมิได้สูงระหว่าง –65 F ถึง 400 F
Ø SKYDROL 500A OR 700 สีม่วงอมชมพู อุณหภูมิระหว่าง –85 F ถึง 1100 F ไม่ติดไฟ
Ø MIL-H-83282 สีแดง ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ทนความร้อนได้สูง ๆ มิให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่าย อุณหภูมิระหว่าง –45 F ถึง 425 F ตัวผนึกใช้ยางเทียม ปัจจุบันนำมาแทน MIL-H-5606
*** ตามแจ้งความวิทยาการ ชอ.ที่ 325/27
MIL-H-83282 (สีเหลือง), MIL-H-83282 A (สีเหลือง), MIL-H-83282 A/AMENDMENT-1 (สีแดง), MIL-H-83282 B (สีแดง) ทั้งสีเหลืองและสีแดงใช้ผสมกันได้เลยโดยไม่ต้องถ่าย
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้น้ำมัน HYD
· ไม่ควรนำ HYD ต่างชนิดหรือต่างข้อกำหนดมาผสมกัน
· ไม่ควรนำ HYD ที่ใช้แล้วมาใช้อีก
· ไม่ควรปล่อย HYD ทิ้งไว้ในกระป๋องที่เปิดฝา
SEAL (ตัวผนึก)
q มีหน้าที่เก็บน้ำมัน HYD ไว้ในระบบไม่ให้รั่วไหล
q วัสดุที่ใช้ทำขึ้นอยู่กับความต้องการของ บ.ที่ใช้
q SEAL ส่วนมากใช้ยางเทียม (ยางสังเคราะห์) และโลหะ
SEAL แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1. PACKING ใช้กับส่วนที่เคลื่อนไหว (DYNAMIC SEAL)
2. GASKETS ใช้กับส่วนที่อยู่กับที่ หรือเรียกว่า “ปะเก็น” (STATIC SEAL)
แบบของ SEAL
· V-RING กันความอัดได้ด้านเดียว เวลาประกอบมีที่รองรับ ป้องกัน SEAL ชำรุด
· U-RING ใช้ป้องกันการรั่วของลูกสูบและก้านสูบ
· CUP-RING กันได้ด้านเดียว โดยมากใช้กับ MASTER BRAKE CYL.
· OIL- SEAL ทำด้วยยางและโลหะโดยรอบ และมีสปริงรับภายใน ใช้กับ HYD. PUMP และ HYD.MOTOR
· WIPER SEAL ทำด้วยโลหะหรือสักกะหลาด ใช้สำหรับทำความสะอาด หล่อลื่นก้านสูบ
· CRUSH WASHER เป็นแหวนกันรั่วเหมือน GASKET ทำด้วยโลหะและแหวนบาง ๆ
· O-RING SEAL ใช้กันทั่ว ๆ ไป (ใช้มาก) เป็นได้ทั้ง GASKET และ PACKING
ประโยชน์ของ O-RING
ü ประกอบได้ง่าย
ü ไม่ต้องการปรับขณะทำการประกอบ
ข้อแตกต่างระหว่าง O-RING PACKING และ O-RING GASKET
- O-RING PACKING จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของเนื้อ SEAL ใหญ่ขึ้นตามขนาดของวง แต่ขนาดเล็กที่สุด คือ 3/16 นิ้ว
- O-RING GASKET เส้นผ่าศูนย์กลางกว้างที่สุด 1/8 นิ้ว
สีที่ O-RING จะบอก
· ขีดสีฟ้ารอบนอกของ SEAL จะใช้เป็น GASKET
· จุดสีฟ้ารอบนอกของ SEAL จะใช้เป็น PACKING
O-RING มี 2 แบบ คือ
1. MS SEAL มีจุดสีน้ำเงิน (ฟ้า) เพียงจุดเดียว ใช้กับอุณหภูมิ –65 F ถึง 275 F
2. AN SEAL มีจุดสีตั้งแต่ 2 จุดขึ้นไป ใช้กับอุณหภูมิ –65 F ถึง 160 F
** MS SEAL ใช้แทน AN SEAL ได้ แต่ AN แทน MS ไม่ได้
จุดสีที่ O-RING SEAL (อ่านตามเข็มนาฬิกา)
· จุดแรก BLUE ใช้กับระบบ HYD.
· จุดแรก RED ใช้กับระบบ FUEL
· จุดแรก YELLOW ใช้กับระบบ OIL
· จุดแรก WHITE คือ SEAL ที่ไม่เป็นมาตรฐานใช้งานเฉพาะระบบใดระบบหนึ่ง
** ไม่ควรเก็บ SEAL ค้างไว้ในคลังเกินกว่า 5 ปี เพราะ SEAL จะเสื่อมไปตามอายุ เช่น ที่ซองของ SEAL จะเขียนบอกไว้ว่า GURED 4Q73 EXPRIED 4Q78 หมายถึง SEAL ผลิตเมื่อ QUARTER ที่ 4 ปีที่ 73 และหมดอายุ QUARTER ที่ 4 ปีที่ 78 รวม 5 ปี
QUARTER ที่ 1 หมายถึง ม.ค. – มี.ค.
QUARTER ที่ 2 หมายถึง เม.ย. – มิ.ย.
QUARTER ที่ 3 หมายถึง ก.ค. – ก.ย.
QUARTER ที่ 4 หมายถึง ต.ค. – ธ.ค.
ข้อควรระวังการใช้ O-RING SEAL
ไม่ควรใช้กับความอัดสูงเกิน 1,500 PSI ถ้าเกินต้องใช้ BACK UP ซึ่งบางทีเรียก NON-EXTRUSION DEVICES เพื่อ
· ป้องกัน SEAL พลิก ,ฉีกขาด
· ถ้าความอัดเข้าด้านเดียว เราใช้ BACK UP ตัวเดียว ถ้าเข้า 2 ด้านใช้ 2 ตัว
· BACK UP ทำจาก
- TEPLON เป็นยางขาว ๆ ใช้กับอุณหภูมิ –100 F ถึง 350 F
- LEATHER เป็นหนัง โดยใช้ด้านเรียบติดกับ SEAL
*** PAR BACK-BACK UP ผิวด้านข้างจะโค้งงอ เป็นร่องรองรับกับ SEAL หรือเป็นรูป SEAL
TUBING หรือท่อทาง แบ่งเป็น 3 ชนิด
1. ท่อ AL-ALLOY แบบไม่มีตะเข็บเชื่อม (SEAMLESS AL-ALLOY)
2. ท่อเหล็กกล้า แบบไม่มีตะเข็บเชื่อม (SEAMLESS STAINLESS STEEL)
3. ท่ออ่อน (FLEXIBLE HOSE)
ท่อ AL-ALLOY
เหมาะกับระบบความดันไม่เกิน 1,500 PSI
ท่อเหล็กกล้า
- ใช้ในระบบที่ความดันเกิน 1,500 PSI ขึ้นไป
- ใช้ตามบริเวณที่มักมีวัสดุแปลกปลอม (FOD) เช่น สาย (ท่อทาง) เบรก
ท่ออ่อน (HOSE)
- ใช้ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนหรือมีการเคลื่อนไหว
- แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามความดันใช้งาน (มิใช่ความดันที่ทำให้ท่อแตก)
1. ท่ออ่อนความดันต่ำ ความดันที่ใช้ไม่เกิน 250 PSI
2. ท่ออ่อนความดันปานกลาง ความดันที่ใช้ไม่เกิน 500 PSI
3. ท่ออ่อนความดันสูงปานกลาง ความดันที่ใช้ไม่เกิน 1,500 PSI
4. ท่ออ่อนความดันสูง ความดันที่ใช้เกินกว่า 1,500 PSI ขึ้นไป
- HOSE มีอายุใช้งาน 4 ปี ที่มีลวดถักหุ้มมี 2 ชนิด
ü ท่ออ่อนยาง ความดันปานกลาง มีลวดถักชั้นเดียว (MIL-H-8794)
ü ท่ออ่อนยาง ความดันสูง มีลวดถัก 2 ชั้น (MIL-H-8788)
- การหมดอายุการเก็บและการเปลี่ยนท่อยางจะบอกเป็นอักษรสีเหลืองบนท่อยาง เป็นระยะห่างกันไม่เกิน 9 นิ้ว
- การต่อท่ออ่อนกับระบบ HYD. จะต้องยึดไว้เป็นช่วงห่างกันไม่เกิน 2 ฟุต
- ข้อกำหนดบนท่อยางจะกำหนด เช่น
MIL-H-8794-SIZE-8-3Q67-91079
รหัสของบริษัทสร้าง
QUARTER และปีที่ผลิต
SIZE (1/16)" วัดภายใน
ข้อกำหนดว่าใช้ความดันเท่าไร ดู T.O.1-1A-8
*** ท่อยางวัด Æ ภายใน ส่วนท่อโลหะวัด Æ ภายนอก HOSE ที่มี Æ เท่ากับ TUBE (โลหะ)จะต่อกันได้พอดี
NOTE
§ ท่อยางอ่อนที่มีลวดถัก จะมียางหุ้มลวดอีกทีหนึ่ง
§ ท่อ TEFLON (TETRAPLUOROETHYTLENE) จะมีลวดถักหุ้มภายนอก เวลาตัดท่อจะต้องใช้เทปพันก่อนเพื่อกันลวดถักบานออก (อาจทิ่มมือได้)
§ ท่อ TEFLON ใช้ความดันไม่เกิน 1,500 PSI ไม่มีอายุการเก็บ
FITTINGS (ข้อต่อ)
ใช้สำหรับประกับหรือต่อท่อของแต่ละตอนเข้าด้วยกัน แบ่งเป็น 3 แบบ
1. แบบ AN FITTING
2. แบบ MS FITTING
3. แบบ QUICK DISCONNECT
การจะเลือกใช้แบบไหน ขึ้นอยู่กับตัวประกอบดังนี้
· ข้อต่อที่ใช้อยู่ในบริเวณที่สามารถจะเข้าไปถอดประกอบได้ยากง่ายแค่ไหน
· บริเวณนั้นมีการสั่นสะเทือนมากน้อยแค่ไหน
· มีการถอดบ่อยครั้งหรือเปล่า
AN FITTING (AN = ARMY-NAVY)
q มีส่วนประกอบคือ FLARED, TUBE, SLEEVE และ NUT
q ทำด้วย AL. จะมีสีน้ำเงิน ถ้าทำด้วยเหล็กกล้าจะมีสีดำ ใช้ความดันปานกลางหรือไม่เกิน 2,000 PSI
q ปลายท่อบานคล้ายปากแตร พร้อมปลอกสวม (SLEEVE) และ NUT สำหรับยึด
q ขันด้วยมือแล้วจึงขันให้ได้แรงบิดตามต้องการ
ข้อเสียของ AN FITTING
ปลายบานมักจะแตกร้าวหรือมีรอยร้าวเนื่องจากความสั่นสะเทือน
MS FITTING (MS = MILITARY STANDARD)
q ทำจาก AL. จะมีสีเหลือง, เขียว หรือน้ำตาล ถ้าทำจากเหล็กกล้าจะมีสีน้ำเงิน
q ปลายท่อไม่บาน ใช้แบบปากสวมแบบกด
q การติดตั้ง ให้ขันแน่นด้วยมือแล้วขันด้วยประแจเพิ่มอีก 1/6 ถึง 1/3 รอบ (ไม่เกิน 1/3 รอบ)
ข้อเสีย แบบ MS. คือ
ถ้าขันแน่นเกินไปจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรั่วไหล
QUICK DISCONNECT
q มีชิ้นประกอบเป็นตัวผนึก (SEAL) อยู่ในตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ของไหลไหลออกมาหรือไม่ให้อากาศเข้าไปทำให้ของไหลเสื่อมคุณภาพเมื่อถอดข้อต่อ
q นิยมใช้ในบริเวณที่มีการถอดออกบ่อยครั้งหรือถูกถอดออกตามระยะเวลา
ถังเก็บ HYD (HYD. FLUID RESERVOIRS)
วัตถุประสงค์ คือเป็นคลังเก็บน้ำมัน HYD.ของระบบซึ่งจะบรรจุของไหลไว้พอเพียงที่จะจ่ายให้กับระบบและรับ
น้ำมัน HYD. กลับถังหลังจากดำเนินงาน
ส่วนประกอบการสร้าง
· ตัวเรือน (CASE) มีขนาดรูปร่างแตกต่างกันออกไป บางแบบแยกชิ้นได้ บางแบบก็มีชิ้นเดียว
· ช่องเติม (FILLER PORT)
· แผ่นป้ายข้อมูล (DATA PLATE) จะติดอยู่ใกล้กับจุกเติม จะบอกถึง
- ข้อกำหนดของน้ำมัน HYD.
- สี
- ความจุ
- ถ้ามีความต้องการทราบถึงตำแหน่งต่าง ๆ ของกลไก เช่น FLAP, SPEED BRAKE
- ช่องดูระดับ เป็นช่องกระจก
- เครื่องกรอง (FILTER)
- ท่อยืน (STAND PIPE) เพื่อให้มีน้ำมัน HYD. เหลืออยู่พอเพียงสำหรับให้ระบบฉุกเฉินทำงาน
- ลิ้นระบายความดัน (RELIFE VALVE) ระบายความดันที่มากเกินเกณฑ์ทิ้ง ความดันที่เกินเกณฑ์นี้จะเกิดจากมีอากาศ หรือ น้ำมัน HYD. ในถังมากเกินไป
เครื่องกรอง HYD. (HYD.FILTER)
· วัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมผงสกปรกเล็ก ๆ ไว้
· สามารถกรองสิ่งสกปรกที่มีขนาดเล็กได้ถึง 5 ไมครอน (1 ไมครอน เท่ากับ 1/1,000,000 เมตร) เซลล์เม็ดเลือดแดงของมนุษย์มีขนาดเพียง 25 ไมครอน และเม็ดเลือดขาว 8 ไมครอน
· ปัจจุบันในระบบใหม่ ใช้เครื่องกรองแบบที่เรียกว่า เดลต้า-พี หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความดันจากทางเข้าไปยังทางออก การทำงานปกติความดันทางเข้ากับทางออกเกือบเท่ากัน ถ้าอุดตัน ทางเข้าจะมีความดันมากกว่าทางออก
สูบ HYD. (HYD.PUMPS)
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- สูบมือ (HAND PUMPS)
- สูบกำลัง (POWER PUMPS)
สูบมือ (HAND PUMPS)
ใช้แทนสูบกำลังในกรณีฉุกเฉิน แบ่งออกได้ 2 ชนิด
1. สูบทางเดียว (SINGLE ACTING) มี HYD. ไหลออกจังหวะเดียว (ไม่นิยมใช้)
2. สูบสองทาง (DOUBLE ACTING) จ่าย HYD. ออกมาทั้ง 2 จังหวะ ไม่ว่าจะโยกไปทางหน้าหรือหลัง (นิยมใช้)
สูบกำลัง (POWER PUMPS) แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- แบบเฟือง นิยมใช้ในระบบความดันต่ำ ไม่เกิน 1,500 PSI
- แบบลูกสูบ นิยมใช้ในระบบความดันสูง
สูบกำลังแบบเฟือง (GEAR-TYPE PUMPS)
· เป็นที่จ่ายของไหลมีปริมาตรคงที่ ไม่ว่า ณ ที่รอบใด ๆ นั่นคือมีของไหลในอัตราเร็วสม่ำเสมอ (แกลลอน/นาที)
· จะมีความดัน 2 ชนิดเกิดขึ้น ขณะสูบทำงาน คือ
1. ความดันเรือนสูบ (CASE PRESSURE) เกิดจาก ของไหลที่ผ่านตามช่องทางไหลออกระหว่างหน้าเฟืองและปลอกรองสัมฤทธิ์ ที่ไประบายความร้อนและหล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวภายในสูบ เพื่อป้องกันความดันสูงเกินไป ที่ศูนย์กลางของเฟืองทั้งสองถูกเจาะกลวงแล้วต่อไปยังลิ้นระบายความดัน (RELIEF VALVE) ** RELIEF VALVE จะเปิดที่ความดัน 15 PSI
2. ความดันกดอัด (PRESSURE LOAD) มีความดันเท่ากับของไหลที่จ่ายโดยสูบ มีประโยชน์คือ ทำให้ปลอกรองยึดติดแน่นกับหน้าเฟือง เป็นการป้องกันการรั่วไหลภายในและลดอัตราการสึกหรอของปลอกรองโดยอัตโนมัติ
สูบกำลังแบบลูกสูบ (PISTON PUMPS) แบ่งเป็น 2 ชนิด
- แบบจ่ายปริมาตรคงที่ (CONSTANT VOLUME PISTON)
- แบบจ่ายปริมาตรแปรตาม (VARIABLE VOLUME PISTON)
แบบจ่ายปริมาตรคงที่ (CONSTANT VOLUME PISTON)
· จ่ายของไหลในอัตราการไหลคงที่ไม่ว่า ณ รอบใด ๆ ประกอบด้วยลูกสูบ 7 หรือ 9 ลูก ลูกสูบจะยึดติดกับเพลาขับโดยข้อต่อยูนิเวอร์แซล
· ขณะสูบทำงานจะมีความดันเรือนสูบ (CASE PRESS.) เพื่อระบายความร้อนและหล่อลื่น ความดันที่เกินจะระบายออกทางลิ้นที่เรียกว่า “FOOT VALVE” (15 PSI)
· FOOT VALVE บางแบบติดตั้งไว้ในรองลื่น บางแบบติดตั้งไว้ที่หัว
· ในการกลับทิศทางการหมุนของ CONSTANT VOLUME ที่มี FOOT VALVE ตัวเดียวทำได้โดยขั้นแรก ถอดท่อนหัวออกแล้วหมุนไป 180 องศา แล้วต่อท่อดูดและท่อความดันเข้าแน่น ลูกศรบนหัวสูบชี้แสดงถึงทิศทางหมุนของสูบ
· สูบที่มี FOOT VALVE 2 ตัว กระทำได้ง่าย เพียงแต่เปลี่ยนท่อดูดและท่อความดันสลับกัน ไม่ต้องถอดท่อนหัวออก
แบบจ่ายปริมาตรแปรตาม (VARIABLE VOLUME PISTON)
มีข้อดีคือ
– ไม่ต้องติดตั้งเครื่องปรับความดัน (PRESSURE REGULATOR)
– ช่วยลดความกระโชกที่เกิดขึ้นในระบบ
VARIABLE VOLUME แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. STRATO POWER
2. VICKERE
แบบ STRATO POWER แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
- แบบจำกัดการไหลที่ทางเข้า (INTAKE STAVATION)
- แบบอุปสงค์ (DEMAND) มีโครงสร้างหลายอย่างแตกต่างจากแบบจำกัดการไหลที่ทางเข้า เช่น ลูกสูบใหญ่กว่า และลูกสูบทุกลูกจะมีปลอกสวมไว้ (SLEEVE)
F ตัวปรับชดเชยความดัน (COMPENSATOR) ของแบบอุปสงค์ ไม่ได้กักการไหลที่ทางเข้าเหมือนกับแบบจำกัดการไหลที่ทางเข้า
F เมื่อความดันเพิ่ม COMPENSATOR จะเคลื่อนไปทางขวาและเมื่อความดันลดลงจะเคลื่อนมาทางซ้ายโดยแรงดันของสปริง
แบบ VICKER
· มีหลักการทำงานแบบลดระยะการเคลื่อนที่ของลูกสูบ (STROKE REDUCTION PRINCIPLE)
· เป็นสูบแบบจ่ายปริมาตรแปรตาม
· ของไหลที่ไหลออกสู่ระบบขึ้นอยู่กับ PILOT VALVE CONTROL ซึ่งจะเป็นตัวอำนวยให้แท่งกระบอกสูบทำมุมกับเพลาขับ มีอยู่ 2 ตำแหน่ง คือ
I ZERO FLOW ตำแหน่งนี้จะไม่มีของไหลออกสู่ระบบเลย เมื่อความร้อนในระบบลดลง PILOT VALVE จะทำงาน ซึ่งทำให้กระบอกสูบ (YOKE) เคลื่อนตัวลงมาทำมุมกับเพลาขับ และพร้อมที่จะจ่ายของไหลให้กับระบบ
I FULL FLOW จะทำงานตรงข้ามกับ ZERO FLOW
· สูบแบบนี้ไม่มีการเปลี่ยนทิศทางหมุน
· การปรับลิ้นควบคุมความดัน ทำโดยการหมุนหัวสลักผ่า ตาม-เพิ่ม, ทวน-ลด
· มี FOOT VALVE เพื่อป้องกันความดันเรือนสูบสูงเกินเกณฑ์
หม้อสะสมความอัด (ACCUMULATOR)
หน้าที่ เป็นห้องเก็บน้ำมัน HYD. ไว้ภายใต้ความดัน
วัตถุประสงค์
· เพื่อช่วยเหลือ เสริมการทำงานของสูบกำลังในกรณีที่กลไกในระบบทำงานพร้อมกันหลายชิ้น (ขณะที่ POWER PUMP ต้องการความอัดสูงสุด)
· ให้กลไกสามารถทำงานได้อย่างจำกัด คือ เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งในกรณีที่สูบกำลังขัดข้อง (เก็บความอัดไว้ได้ชั่วขณะ)
· ช่วยลดการกระโชก (SURGES) ในระบบ HYD. (ป้องกันไม่ให้ PRESSURE REGULATOR) ต้องทำงานในตำแหน่ง ปิด ๆ เปิด ๆ หลายครั้งในขณะดำเนินงาน)
แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ
1. แบบไดอะแฟรม (เปิดกลางได้ เปลี่ยนไดอะแฟรม) อากาศอยู่ด้านล่าง
2. แบบถุงยาง (เปิดไม่ได้ ต้องเปลี่ยนทั้งชุด) อากาศอยู่ด้านล่าง
3. แบบลูกสูบ (เปิดด้านบน-ล่างได้)
4. แบบทดแทนในตัวเอง (SELF-DISPLACING PRESSURE ACCUMULATOR) มีข้อดีคือ
- จะทำงานจ่าย HYD. PRESS. ทุกท่าบิน
- ช่วยส่ง HYD. เข้า POWER PUMP เป็นการช่วย RESERVOIRS
*** ใช้คู่กับ COMPENSATOR ของระบบ
ลิ้นเลือกเปลี่ยนทาง (SELECTOR VALVE)
มีหน้าที่อยู่ 2 ประการคือ
1. เป็นลิ้นนำน้ำมัน HYD. ไปยังตัวอำนวยการตามทิศทางที่เราประสงค์
2. เป็นตัวควบคุม
แบ่งตามลักษณะการสร้างได้ 3 แบบ
1. ROTOR TYPE มีขนาดช่องทางเข้าเท่ากันหมด มี 4 ช่อง
2. POPPET OR RADIAL TYPE เป็นแท่งยกขึ้นลง รูปดอกเห็ด
3. PISTON OR SLIDE TYPE (METERING VALVE)
§ ส่วนมากใช้กับระบบ CLOSE CENTER
§ ข้อดีคือสามารถกำหนดให้ลิ้นปิด-เปิดในตำแหน่งที่ต้องการ จึงสามารถใช้บังคับการเคลื่อนไหวของกลไกในอัตราเร็วต่าง ๆ กัน
แบ่งตามจำนวนท่อทางเข้าได้ 2 แบบ
1. มีทางเข้า 3 ทาง ใช้กับตัวอำนวยการแบบ SINGLE ACTION
2. มีทางเข้า 4 ทาง
ตัวอำนวยการ (ACTUATORS)
ทำหน้าที่ เปลี่ยนความดัน HYD. มาเป็นพลังงานกล แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด
1. SINGLE ACTION HYD. เข้าข้างเดียว SPRING เป็นตัวดันย้อนกลับ
2. DOUBLE ACTION มีห้อง HYD. 2 ห้อง แบ่งเป็น 2 ชนิด
- UNBALANCE TYPE (NORMAL) ไม่สมดุลย์ มีก้านสูบก้านเดียว
- BALANCE TYPE แบบสมดุลย์ มีก้านสูบ 2 ก้าน
MOTOR HYD.
หน้าที่ เปลี่ยนกำลังความอัดเป็นกำลังการหมุนเพื่อดำเนินงานทางกล
มีลักษณะเหมือนสูบ HYD. แต่การทำงานตรงข้ามกัน
ชุดควบคุมความดันและการไหลในระบบ HYD.
ประกอบด้วย
- CHECK VALVE
- HYD. FUSE
- RELIEF VALVE
- PRESSURE REGULATOR
- SHUTTLE VALVE
- PRESSURE SWITCH
- PRESSURE GAUGES
- ACCUMULATOR
CHECK VALVE (ลิ้นทางเดียว) แบ่งเป็น 4 ชนิด
1. NORMAL CHECK VALVE จะเปิดให้ HYD. ไหลออกได้ทางเดียวและปิดป้องกันไม่ให้ HYD. ไหลย้อนกลับ
มีเครื่องหมาย เป็นสัญญลักษณ์
2. ORIFICE CHECK VALVE หมายถึงรูหรือช่องเล็ก ๆ เพื่อทำให้ HYD. ไหลไม่สะดวก เป็นการลดอัตราเร็วของการไหลให้ช้าลง
- ใช้ติดตั้งกับท่อทางที่มีการไหลสลับกัน (ALTERNATING LINE) หมายถึงใช้เป็นทั้งท่อส่งความดัน (PRESSURE LINE) และท่อไหลกลับ (RETURN LINE)
- ใช้กับระบบฐานและ FLAP
- มีเครื่องหมาย เป็นสัญญลักษณ์
3. FIXED ORIFICE ใช้กักหรือลดอัตราเร็วของการไหลทั้ง 2 ทาง
4. VARIABLE ORIFICE หน้าที่เหมือน FIXED ORIFICE แต่สามารถปรับขนาดของรู ORIFICE ได้ โดยการหมุนเข็มปรับ
HYDRAULIC FUSE
· หน้าที่ ป้องกันไม่ให้ HYD. ไหลออกหมดในกรณีที่มีการรั่วไหลในระบบ
· ที่ HYD.FUSE จะมีอักษรเขียนบอกปริมาตร พร้อมเครื่องหมายลูกศรซึ่งชี้บอกทิศทางที่ต้องการวัด กัก HYD. ซึ่งจะมีปริมาตรเป็น 2 เท่าของ HYD. ที่ใช้งาน เช่น ใช้ FUSE ชนิด 50 CU.IN ก็หมายความว่า ถ้ามี HYD. ไหลผ่าน FUSE 25 CU.IN จะเป็นการทำงานตามปกติ (ตำแหน่ง HALF FUSED) ถ้ามีการรั่วไหล HYD. จะไหลผ่าน FUSE จนครบ 50 CU.IN HYD.FUSE ก็จะปิดไม่ให้ HYD.ไหลผ่าน
· การทำงานมี 4 ตำแหน่ง คือ
Ø STATIC ไม่มี HYD ไหลทั้งสองด้าน ลูกสูบอยู่ด้านบน
Ø HALF FUSED เป็นตำแหน่งทำงานปกติ ซึ่งจะมี HYD ไหลผ่าน FUSE ประมาณ ½ ของความจุ FUSE เช่น ความจุ FUSE 100 CU.IN ตำแหน่ง HALF FUSE จะเท่ากับ 50 CU.IN
Ø FUSED ลูกสูบจะอยู่จนสุดทาง (ล่างสุด) เพื่อปิดไม่ให้ HYD ไหล
Ø RETURN คือ ทำให้ FUSE กลับไปอยู่ในตำแหน่ง STATIC เหมือนเดิมหลังจากอยู่ในตำแหน่ง FUSE แล้ว โดยให้ HYD ไหลกลับทางมาดันลูกสูบให้เคลื่อนไปอยู่ตำแหน่งเดิม ก็จะนำ FUSE ไปใช้งานได้อีก
ลิ้นจัดทาง (SHUTTLE VALVE)
หน้าที่ แยกระบบธรรมดาและระบบฉุกเฉินออกจากกันโดยเด็ดขาด เช่น ถ้าใช้ระบบธรรมดา ลิ้นจะปิดระบบฉุกเฉิน และในทำนองเดียวกันถ้าใช้ระบบฉุกเฉินระบบธรรมดาก็จะถูกปิด
ลิ้นปรับระบายความดัน (RELIEF VALVE)
§ ลิ้นจะเปิดระบายให้ HYD. ไหลกลับสู่ถัง ถ้าความดันในระบบมากกว่าที่ต้องการ เป็นการป้องกันท่อทางหรืออุปกรณ์ในระบบเสียหาย
§ จะทำงานเฉพาะเมื่อ PRESSURE REGULATOR หรือ PRESSURE COMPENSATOR เกิดขัดข้อง (ของสูบจ่ายปริมาตรแปรตาม)
PRESSURE REGULATOR (เครื่องปรับควบคุมความดัน)
q ใช้สำหรับปรับควบคุมความดัน HYD. ในระบบให้สม่ำเสมอหรือคงที่
q ใช้ร่วมกับสูบจ่ายปริมาตรคงที่
q การทำงานแยกเป็น 2 จังหวะ คือ
ª จังหวะ KICK IN คือจังหวะที่ PRESS.REG. เปิดให้ HYD. ไหลเข้าระบบ
ª จังหวะ KICK OUT คือจังหวะที่ PRESS.REG. เปิดให้ HYD ไหลกลับไปยังถังเก็บ
q ช่วยปลดภาระกรรมของสูบ (เดิมเรียกว่า UNLOAD VALVE)
PRESSURE SWITCH
¨ เป็นเครื่องมือที่ใช้ความดัน HYD ไปทำการปิดเปิดกระแสไฟฟ้า
¨ ใช้ BOURDON TUBE เป็นตัวอำนวยการ
PRESSURE GAUGES
เป็นเครื่องมือใช้วัดความดันโดยบอกให้ทราบว่ามีความดันอยู่ในระบบมาก-น้อยเท่าไร แบ่งเป็น 2 แบบคือ
- DIRECT READING (อ่านค่าโดยตรง)
- REMOTE READING (ถ่ายทอดการวัด)
LINE DISCONNECT VALVE OR QUICK DISCONNECT VALVE (ลิ้นปลดทาง)
· ป้องกันการสูญเสีย HYD ในท่อทาง ขณะเมื่อต้องการถอดชิ้นส่วนบางอย่าง
· อาจเรียกว่า SELF-SEALING COUPLING ก็ได้
SEQUENCE VALVE (ลิ้นจัดลำดับ)
- มีหน้าที่ปิดเปิด HYD ให้ไหลไปยังชุดทำงานที่สัมพันธ์กัน ให้เป็นไปตามลำดับ หรือเรียกว่า TIMING VALVE (ลิ้นตั้งเวลา)
CROSS-FLOW VALVE (ลิ้นลัดวงจร)
- มีหน้าที่ ให้น้ำมันไหลผ่านลัดทางจากท่อทางพับฐานไปยังท่อทางกางฐาน ทำให้กางฐานได้สะดวกขึ้น
FLOW EQUALIZERS (เครื่องแบ่งส่วนน้ำมัน)
- มีหน้าที่ เชื่อมความสัมพันธ์การเคลื่อนตัวของกลไกตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไปให้ทำงานโดยพร้อมเพรียงกัน และด้วยอัตราการทำงานที่เท่ากัน
PUMP PURGING VALVE (ลิ้นไล่อากาศจากสูบ)
- มีหน้าที่ ระบายอากาศจาก POWER PUMP กลับถัง เพราะขณะ เครื่องยนต์เริ่มติด สูบอาจดูด HYD จากถังโดยมีฟองอากาศ และยังมีหน้าที่ลดความอัดที่อาจกระแทกมาครั้งแรกเมื่อ เครื่องยนต์เริ่มติด
ระบบ HYD แบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ
1. OPEN CENTER SYSTEM
2. CLOSED CENTER SYSTEM
*** ชื่อของระบบตั้งตามลักษณะของ SELECTOR VALVE
ระบบ OPEN CENTER มีส่วนประกอบเหล่านี้ คือ
- INSTALL เป็นแบบ SERIES
- SELECTOR VALVE เป็นแบบที่เปิดให้ HYD ไหลกลับสู่ถังเก็บเมื่อมันอยู่ในตำแหน่ง NEUTRAL
- PUMP เป็นแบบ CONSTANT VOLUME เพียงแบบเดียว
- ไม่ต้องใช้ PRESS.REG.
- ไม่ต้องใช้ หม้อ ACCUMULATOR
- การทำงาน ทำได้ครั้งละหน่วยเดียวในกรณีที่มีหน่วยย่อยหลาย ๆ หน่วยในระบบ (ผลเสีย)
- RELIEF VALVE
ระบบ OPEN CENTER มีส่วนประกอบเหล่านี้ คือ
- INSTALL เป็นแบบ PARA
- SELECTOR VALVE เป็นแบบที่ปิดกักน้ำมัน HYD ไว้ในระบบเมื่อมันอยู่ในตำแหน่ง NEUTRAL
- PUMP อาจเป็นแบบ CONSTANT หรือ VARIABLE VOLUME ก็ได้
- PRESS.REG. ต้องการใช้ ถ้าระบบใช้ CONSTANT VOLUME PUMP และไม่ต้องการใช้เมื่อระบบใช้ VARIABLE VOLUME PUMP
- ACCUMULATOR ต้องการใช้ในระบบนี้ เพราะสามารถบรรจุความดันเข้าได้
- การทำงาน ทำได้ครั้งละหลายหน่วยพร้อมกันในกรณีที่มีระบบย่อยหลาย ๆ หน่วยในระบบ
*** ผลดีของ CLOSED CENTER
· สามารถเก็บ HYD. ภายใต้ความดันได้ตลอดเวลา
· สามารถใช้ระบบย่อยหลาย ๆ หน่วยทำงานพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน
· นิยมใช้อย่างกว้างขวาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น