หลอดแก้วรูปตัวยู 
            เมื่อใส่ของเหลวลงไปในหลอดแก้วรูปตัวยู ระดับของของเหลวในแขนของหลอดแก้วทั้งสองจะอยู่นิ่งที่ระดับเดียวกัน ไม่ว่าพื้นที่หน้าตัดของหลอดทั้งสองจะเท่ากันหรือไม่ก็ตาม ( แต่ถ้าหลอดแก้วมีขนาดเล็กมาก ๆ แรงตึงผิวของของเหลวจะทำให้ระดับของของเหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย)

รูป 12-3
รูป 12-3  (ซ้ายมือ) ของเหลว 1. สมดุลอยู่ในหลอดแก้วรูปตัว U (ขวามือ) เมื่อใส่ของเหลว 2. ลงไปในหลอดแก้วเมื่อนำของเหลว 2. ซึ่งไม่ผสมกับของเหลว 1. ใส่ลงไปในหลอดแก้ว พบว่าจะทำให้ของเหลว 1. สูงขึ้นไปอยุ่ที่ระดับ C และระดับของของเหลว 1. ในแขนด้านซ้ายมือลดลงมาอยู่ที่ระดับ  B  เมื่อของเหลวสมดุลแสดงว่าความดันที่ B เท่ากับความดันที่  B/  ( จะเห็นว่าเราพิจารณาตรงระดับที่เป็นรอยต่อระหว่างของเหลวทั้งสองชนิด)
                        pB         =          pa + r1 gh1
                         =          pa + r2 gh2
       =          pa + r2 gh2
            จะได้     r1 h1     =          r2 h2
ตัวอย่าง12-1 หลอดแก้วรูปตัวยู มีพื้นที่หน้าตัดสม่ำเสมอ ใส่ปรอทที่มีความหนาแน่น 13.6 ´ 103  kg. m-3 ต้องเติมน้ำลงในหลอดข้างหนึ่งให้สูงเท่าใด จึงจะทำให้ระดับปรอทในแขนอีกข้างหนึ่งสูงขึ้นจากเดิม 2.5  cm.  ให้ความหนาแน่นของน้ำเท่ากับ 103  kg. m-3
หลักการคำนวณ                                                          
 เพราะว่า             rน้ำ y     =          r2 h
เพราะว่า             rน้ำ y     =          r2 h
                                                                        y           =  
                                                                                    =  0.68 m
                                                                                    =   68  cm.
 
มานอมิเตอร์ (open tube manometer)
            มานอมิเตอร์แบบปลายเปิด รูป12-5 (a)  ใช้เป็นเครื่องมือวัดความดันแบบง่ายที่สุด ประกอบด้วยหลอดแก้วรูปตัว U   ปลายหนึ่งเปิด ความดันเท่ากับความดันบรรยากาศ  ปลายอีกข้างหนึ่ง(ด้านซ้ายมือ) มีความดัน p ซึ่งเป็นความดันที่ต้องการวัด 
            ความดันที่ก้นหลอดด้านซ้าย   =  p + rgy1  และความดันที่ก้นหลอดด้านขวา = pa + rgy2   เมื่อ r   คือความหนาแน่นของของเหลวในหลอด  เนื่องจากความดันที่ระดับเดียวกันย่อมเท่ากัน  ดังนั้น
                        p + rgy1               =          pa + rgy2
                        p - pa        =       rg (y2 -y1)      =       rgh                         ................... (12-6)
            ความดัน p นี้เรียกว่า  ความดันสัมบูรณ์   ผลต่างของความดันสัมบูรณ์กับความดันบรรยากาศ   เรียกว่า ความดันเกจ  (Gauge pressure)  
            เครื่องมือวัดความดันอีกแบบหนึ่ง คือ บารอมิเตอร์ เป็นหลอดแก้วยาวปลายข้างหนึ่งปิดมีปรอทบรรจุอยู่เต็ม  แล้วจับหลอดนี้คว่ำลงในอ่างปรอท  ดังแสดงในรูป 12-5 b  ที่ว่างเหนือปรอทมีแต่ไอปรอท  ซึ่งความดันไอปรอท ณ  อุณหภูมิห้องมีค่าน้อยมาก  ประมาณว่าเป็นศูนย์  เพราะฉะนั้น
                        pa         =          rg (y2 - y1) 
                                    =          rgh                                                      ................... (12-7)
            ความดันของบรรยากาศ แปรผันตรงกับความสูงของปรอท เราจึงมีหน่วยวัดความดันเป็นความสูงของปรอท ความดัน 1 บรรยากาศ เท่ากับความสูงของปรอท 760 มม.
                        pa         =          rgh      =          (13.6 ´ 103 kg.m-3 )(9.8 m.s-2)(0.76 m)
                                                            =          1.013 ´ 105 Pa
            ความดัน 1  มิลลิเมตรของปรอท มีค่าเท่ากับ 1  ทอร์  โดยตั้งชื่อหน่วยเป็นเกียรติแก่นักฟิสิกส์ชาวอิตาลีชื่อว่าทอร์เซลลี Toricelli  (1608-1647)  ซึ่งเป็นคนแรกที่ได้ศึกษาลำปรอทในบารอมิเตอร์


                                    
รูป 12-5 มานอมิเตอร์ และบารอมิเตอร์แบบปรอท
ตัวอย่าง12-2 จากรูป 12-5 a  ด้านซ้ายมือของมานอมิเตอร์ต่อกับถังแก๊ส ปรอททางด้านขวามือสูงกว่าด้านซ้ายอยู่ 39 ซม. บารอมิเตอร์ที่อยู่ใกล้ ๆ อ่านค่าได้ 75 ซม.ของปรอท จงหาความดันสมบูรณ์ของแก๊สในถัง
หลักการคำนวณ          
ความดันของแก๊สในถัง      =  ความดันของอากาศ + ความดันของปรอทที่สูงกว่าอยู่ 39 ซม.
                                                =  75  cm  +   39  cm
                                                =   114  cmHg    =          114 cmHg / 76 cmHg 
                                                =   1.5 เท่าของความดันบรรยากาศ
12-3 กฎของปาสคาล___________________________________________
            มีใจความว่า ความดันที่กระทำต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของของไหลในภาชนะปิด จะส่งผ่านไปยังทุก ๆ ส่วน ของของไหล รวมทั้งผนังภาชนะที่บรรจุของไหลด้วยขนาดเท่ากันตลอด
|  | 
รูป 12-6   เครื่องอัดไฮดรอลิก
เครื่องอัดไฮดรอลิก เป็นตัวอย่างการนำกฎของปาสคาลไปประยุกต์ ดังรูป 12-6  เมื่อออกแรง  f  กดลงบนลูกสูบตัวเล็กพื้นที่หน้าตัด a ความดัน =  f/a จะถูกส่งผ่านไปยังทุก ๆ ส่วนของของไหล  รวมถึงลูกสูบใหญ่ที่มีพื้นที่หน้าตัด A จากกฎของปาสคาล จะได้
                                                p =   หรือ   F   =
   หรือ   F   =    
       
            เพราะฉะนั้นเครื่องอัดไฮดรอลิกจะได้แรงยกทางฝั่งของลูกสูบใหญ่มากกว่าแรงที่ให้ทางฝั่งของลูกสูบเล็ก เครื่องมือหลายชนิดอาศัยหลักการนี้ช่วยผ่อนแรง  เช่น   แม่แรงยกรถ   ห้ามล้อ  และเครื่องกดไฮดรอลิก  เก้าอี้ช่างตัดผม  เก้าอี้ทันตแพทย์ เป็นต้น
ตัวอย่าง12-3 เครื่องอัดไฮดรอลิกเครื่องหนึ่ง กำหนดให้ลูกสูบเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 1 cm  ออกแรงกดขนาด 50 N ทำให้ลูกสูบเล็กเคลื่อนที่ลง 7 cm  ถ้าลูกสูบใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 cm  จงคำนวณหา   
  ก)   แรงดันบนลูกสูบใหญ่
              ข)  ความดันบนลูกสูบใหญ่
              ค)  ถ้าต้องการให้ลูกสูบใหญ่เคลื่อนที่ขึ้นสูง 10 cm  จะต้องออกแรงกดที่ลูกสูบเล็กกี่ครั้ง
หลักการคำนวณ
              ก)   ให้แรงดันที่ลูกสูบเล็ก = F1 , ความดัน p1     และพื้นที่หน้าตัด  = A1
                    แรงดันที่ลูกสูบใหญ่ = F2  ,  ความดัน p2       และพื้นที่หน้าตัด = A2
                        จาก       p1            =          p2
                                     =
      =          
  
               แทนค่า     =
           =        
            แรงดันบนลูกสูบใหญ่
                        F2                     =          50 ´ (20)2 
                                                =          2 ´ 104  N
            
ข.)  ความดันบนลูกสูบใหญ่
                        p2                     =           
            
                                                =           N×m-2
      N×m-2
                                                =          63.7 104     N×m-2
            
ค.)   ถ้ากดลูกสูบเล็กลงเป็นปริมาตร V ลูกสูบใหญ่จะถูกยกขึ้นด้วยปริมาตร V เช่นเดียวกัน  ดังนั้น
                        A1h1                  =          A2 h2
            ถ้า h1  = 7 ´ 10-2  m   จะได้
                   p  =          p
      =          p  
     
                                      h2                        =                  m
  m
                                                            =             1.75 ´ 10-4       m
            นั่นคือ  กดลูกสูบเล็ก  1 ครั้ง  ลูกสูบใหญ่ยกขึ้น 1.75 ´ 10-4  m หรือ      =1.75 ´ 10-2    cm
            ถ้าต้องการให้ลูกสูบใหญ่เคลื่อนที่ขึ้น  10  cm
            จะต้องกดลูกสูบเล็กลง       =          
                                                =          0.571 ´ 103   ครั้ง                       =   571   ครั้ง
| 
 | ||||
| 
 | ||||


12-4  แรงลอยตัว_________________________________________________
            เหตุใดน้ำหนักของวัตถุที่ชั่งในของเหลวจึงน้อยกว่าที่ชั่งในอากาศ หรือ วัตถุบางชนิดจึงลอยได้ในของเหลว สามารถอธิบายได้โดยอาศัยหลักของอาร์คิมีดิส ( Archimedes principle) ซึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของวัตถุหรือทั้งก้อน จมในของเหลว จะมีแรงลอยตัว (buoyant force)  กระทำต่อวัตถุนั้นมีขนาดเท่ากับน้ำหนักของของเหลวที่ถูกแทนที่โดยวัตถุนั้น 

รูป 12-7 วัตถุจมในของเหลว
จากรูป แรงลอยตัวที่พยุงวัตถุไว้ไม่ให้จม คือ  F2 -  F1 
                                    F1         =          P1 A      =          ( PA +  rg y1) A
                                    F2         =          P2 A      =          ( PA +  rg y2) A
                                    F2 – F1  =          rg ( y2 – y1) A
                                                =          rg h A
                                                =          น้ำหนักของของเหลวที่ถูกแทนที่โดยวัตถุ
ตัวอย่าง12-4  ลูกลอยทรงกลมที่ใช้ในเครื่องสุขภัณฑ์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม. ขณะที่ลอยอยู่มีปริมาตรส่วนที่จมน้ำเพียงครึ่งหนึ่งของทรงกลม จงหาน้ำหนักของลูกลอย ถ้ามีน้ำรั่วเข้าไปภายใน น้ำจะรั่วเข้าไปเท่าใดจึงจะทำให้ลูกลอยจมมิดน้ำพอดี ให้ความหนาแน่นของน้ำเท่ากับ 103 kg.m-3
หลักการคำนวณ          
แรงลอยตัว (FB)                =          น้ำหนักของเหลวที่มีปริมาตรเท่ากับวัตถุส่วนที่จม
                                                =          r g V
                                                =          (103 kg.m-3)( 9.8 m.s-2)(0.5 ´ (4/3) ´ p ´ 0.063 m3)
                                                =          4.43 N
ขณะที่ลูกลอยลอยนิ่งอยู่ในภาวะสมดุล แรงลอยตัว จะเท่ากับน้ำหนักของลูกลอยนั้น
                                    W         =          FB         =          4.43 N  (มวลลูกลอย 0.452 กิโลกรัม)
เมื่อน้ำรั่วเข้าไปในลูกลอยแล้วทำให้ลูกลอยจมมิดพอดี แสดงว่า
            น้ำหนักลูกลอย (W) +  น้ำหนักน้ำที่รั่ว ( w)    =          แรงลอยตัว ( FB )
                        W         +          w                      =          r g ( ปริมาตรทั้งหมดของทรงกลมลูกลอย)
                                                                        =          (103 kg.m-3)( 9.8 m.s-2)( (4/3)p  0.063 m3)
                                                                        =          8.86 N
                                                w                      =          8.86 – W           = 8.86 – 4.43 N
                                                                        =          4.43 N 
            น้ำจะต้องรั่วเข้าไปในลูกลอย 4.43 นิวตัน ลูกลอยจึงจะลอยปริ่มน้ำพอดี
ตัวอย่าง12-5  กล่องทองเหลืองมวล 0.5 kg  มีความหนาแน่น 8.0 ´ 103 kg×m-3  แขวนด้วยเชือก  และหย่อนลงไปในน้ำจนท่วมกล่องทั้งหมด จงหาความตึงของเส้นเชือก 
หลักการคำนวณ    สมมติให้แรงพยุงของอากาศน้อยมากและประมาณเป็นศูนย์  
 ดังนั้น   แรงตึงเชือกขณะแขวนอยู่กลางอากาศ           =          น้ำหนักของกล่อง 
                                                            mg                    =          (0.5 kg)(9.8 m×s-2)
                                                                                    =          4.9 N
หย่อนลงไปในน้ำ  ตามกฎของอาร์คีมีดีส  แรงพยุงตัวจะเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่
 ก่อนอื่นหาปริมาตรของกล่องจะได้
ก่อนอื่นหาปริมาตรของกล่องจะได้    
                                                            V          =           
                                            
                                                                        =          
                                                                        =          6.25 ´ 10-5  m3
รูป 12-8 แขวนกล่องทองเหลืองในน้ำ
แขวนกล่องทองเหลืองด้วยเชือก และจุ่มลงไปในน้ำจนท่วมทั้งหมด   ดังนั้น  น้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่  คือ
                        w          =          mg        =  rVg
                                    =          (1.0 ´ 103  kg×m-3)(6.25 ´ 10-5 m3)(9.8 m×s-2)
                                    =          0.612     N
            แรงตึงเชือก         =          น้ำหนัก  -  แรงพยุงตัว       =   4.9 N - 0.612  N         =   4.29  N
ตัวอย่าง12-6  กำไลทองชั่งในอากาศได้ 50 กรัม  ชั่งในน้ำได้ 46 กรัม  ดังรูป 12-9  กำไลอันนี้ทำจากทองจริงหรือไม่ (ความหนาแน่นของทองแท้ rทอง  = 19 กรัม×cm-3)
|  | 
                                       รูป 12-9   ชั่งกำไลทองในอากาศและในน้ำ
หลักการคำนวณ        หาปริมาตร V ของกำไลทอง  กำหนดให้   m (อากาศ)  =  มวลของกำไลชั่งในอากาศ ;   m (น้ำ) =  มวลของกำไลชั่งในน้ำ
            แรงพยุงของน้ำคือ                        Fb         =          [m (อากาศ) - m (น้ำ)] g
            แรงพยุงจะเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่
                                                Fb         =          Vrน้ำg
                                                V          =          
                                                            =          
                                                            =           
                                                            =           =          4  cm3
           =          4  cm3
ความหนาแน่นของกำไล คือ                       rกำไล     =           =
             =           
          
                                                            =          12.5 กรัม×cm-3
            ความหนาแน่นของกำไลไม่เท่ากับความหนาแน่นของทอง แสดงว่ามีการผสมธาตุ บางชนิดซึ่งมีน้ำหนักน้อยกว่าทองลงไป
| 
 | |||
| 
 | |||


| 
 | ||||
| 
 | ||||


12-5 ความตึงผิว_______________________________________________ 
            แรงตึงผิว หมายถึงแรงที่เกิดขึ้นที่ผิวหน้าของของเหลว เป็นผลรวมของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของของเหลวด้วยกัน หรือเป็นผลรวมของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของของเหลวกับโมเลกุลของภาชนะหรือของไหลชนิดอื่นที่มันสัมผัส แรงตึงผิวจะอยู่ในแนวขนานกับผิวหน้าของของเหลวเสมอ แรงนี้พยายามทำให้พื้นที่ผิวของของเหลวมีขนาดน้อยที่สุด
            จากรูป 12-10 โมเลกุลของของเหลวแต่ละโมเลกุลจะถูกแรงกระทำเนื่องจากโมเลกุลอื่นที่อยู่รอบ ๆ ผลคือทำให้แรงรวมดังกล่าวมีค่าเป็นศูนย์ แต่โมเลกุลที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ ผิวของของเหลวถูกแรงดึงลงมีขนาดมากกว่าแรงดึงขึ้น  แรงลัพธ์ที่ดึงโมเลกุลดังกล่าวมีทิศทางเข้าไปภายในของเหลว ทำให้ผิวของของเหลวมีลักษณะเสมือนกับเป็นเยื่อบาง ๆ ที่ถูกขึงให้ตึง  ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ความตึงผิว (Surface Tension)

รูป 12-10  แรงลัพธ์ที่กระทำต่อโมเลกุลที่อยู่ใกล้ผิวของของเหลว ทำให้เกิดความตึงผิว
            ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับแรงตึงผิวเช่น ของเหลวไหลจะหลอดฉีดยาเป็นหยด ๆ ไม่ไหลเป็นทาง เพราะว่ามีแรงเกิดขึ้นระหว่างผิวโมเลกุลของของเหลว ทำให้รวมตัวเป็นปริมาตรเล็ก ๆ โดยมีพื้นที่ผิวน้อยที่สุด การวางเข็มเย็บผ้าเล็ก ๆ ลงบนผิวน้ำ เข็มจะลอยอยู่ได้ หรือ แมลงสามารถเดินบนผิวน้ำได้  เพราะผิวของของเหลวทำหน้าที่เสมือนกับเป็นเยื่อที่ขึงตึงสามารถรับน้ำหนักได้พอสมควร  การจุ่มหลอดแก้วที่มีรูหลอดเล็ก ๆ ลงในแก้วน้ำ น้ำจะขึ้นไปในหลอดและมีความสูงกว่าระดับน้ำในแก้ว  แต่ถ้าจุ่มหลอดแก้วเล็ก ๆ นี้ลงในอ่างปรอท ระดับปรอทในหลอดแก้วจะต่ำกว่าระดับปรอทในอ่าง  ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับความตึงผิว
            ทิศทางของแรงตึงผิวมีทิศขนานกับผิวหน้าของของเหลว สามารถแสดงให้เห็นได้โดยง่าย ดังนี้ นำเส้นลวดมาขดเป็นวงไม่โตนักและมีด้ายเส้นเล็ก ๆ ผูกเป็นบ่วงอยู่ตรงกลางวง  นำวงลวดนี้จุ่มลงในน้ำสบู่แล้วยกขึ้นจะได้ฟิล์มสบู่บาง ๆ ในวงลวดโดยที่บ่วงด้ายลอยอยู่ อย่างอิสระ ฟิล์มบางนี้จะอยู่ในสภาพที่ขึงตึงหรืออยู่ในสถานะที่มีความเค้นคือมีแรงดึงอยู่ในระนาบของฟิล์มนี้  (ดูรูปที่ 12-11)  ถ้าใช้นิ้วจิ้มทำให้ฟิล์มสบู่ภายในบ่วงด้ายให้ขาด เป็นรู บ่วงด้ายจะขยายตัวออกเป็นวงกลม  เนื่องจากฟิล์มจะดึงออกรอบตัวตามแนวรัศมี (หรือกระทำในทิศที่ตั้งฉากต่อเส้นใด ๆ ในฟิล์มและเส้นรอบ ๆ ฟิล์ม ) แรงลัพธ์ทั้งหมดที่กระทำต่อทุก ๆ ส่วนของเส้นด้ายจะเท่ากับศูนย์
|  | 
               
     รูป 12-11      (a)  ฟิล์มของน้ำสบู่บนวงลวดโดยมีบ่วงด้ายอยู่อย่างอิสระ
                                               (b)  เมื่อทำให้ฟิล์มภายในบ่วงด้ายขาด บ่วงจะถูกแรงดึงออกรอบตัว
                                                    เป็นวงกลม
            เมื่อพิจารณาผิวหน้าของของเหลว ถ้าลากเส้นสมมติขึ้นมาเส้นหนึ่ง โมเลกุลของของเหลวที่อยู่ทั้งสองด้านของเส้นสมมตินี้ตางก็มีแรงกระทำซึ่งกันและกันตลอดความยาว L ขนาดของแรงจะเพิ่มมากขึ้นถ้าความยาว L เพิ่มขึ้น นั่นคือ 
            แรงตึงผิว ( F )  แปรผันตรงกับความยาวของผิวหน้าของของเหลวที่แรงนั้นกระทำในแนวตั้งฉาก
                                                            F          µ         L 
                                                            F          =          g L
             g (แกมม่า) คือ ความตึงผิวหรือสัมประสิทธิ์ความตึงผิว  มีหน่วยเป็นนิวตัน/ เมตร เป็นแรงตึงผิวต่อหน่วยความยาว บนผิวหน้าของของเหลวที่แรงตึงผิวกระทำในแนวตั้งฉาก  L เป็นความยาวของเส้นที่สัมผัสกับของเหลวหรือขอบของวัตถุที่เปียกของเหลว  เช่น นำเข็มยาว  d วางบนผิวของของเหลว ความยาว L จะเท่ากับ  2d  เพราะของเหลวจะสัมผัสกับเข็มทั้งสองด้าน  ใบไม้ลอยในน้ำ ความยาว L คือเส้นรอบรูปของใบไม้ที่เปียกน้ำนั่นเอง
            เราอาจทดลองวัดความตึงผิวของของเหลวได้อีกวิธีหนึ่ง ดังแสดงในรูป 12-12   ใช้ขดลวดวงกลมเส้นรอบวง 2pr  ผูกลวดวงกลมนี้ด้วยเชือก นำไปคล้องกับเครื่องชั่งสปริงชนิดละเอียดแล้วจุ่มลวดนี้ลงในของเหลว ค่อย ๆ ยกเครื่องชั่งสปริงขึ้น อ่านขนาดแรงดึง F จากเครื่องชั่งสปริงขณะที่ขดลวดกำลังจะหลุดจากผิวของของเหลวพอดี 
            จะหาค่า   g  ได้จาก                      g      =       .................. (12-8)
                          .................. (12-8)
            (ข้อสังเกต มีค่าเป็น 4pr  ไม่ใช่ 2pr)

                                    
รูป 12-12   ดึงลวดวงกลมออกจากของเหลว
ตาราง 12-2   ค่าของความตึงผิวของของเหลวที่อุณหภูมิต่าง ๆ กัน
| ของเหลวสัมผัสกับอากาศ | อุณหภูมิองศาเซลเซียส | ความตึงผิว (g) (10-3 นิวตัน×เมตร-1) | 
|      เบนซิน | 20 | 28.9 | 
|      เอธิลแอลกอฮอล์ | 20 | 22.3 | 
|      กลีเซอรีน | 20 | 63.1 | 
|      ปรอท | 20 | 465 | 
|      น้ำสบู่ | 20 | 25 | 
|      น้ำ | 0 | 75.6 | 
|      น้ำ | 20 | 72.8 | 
|      น้ำ | 60 | 66.2 | 
|      น้ำ | 100 | 58.9 | 
|      ออกซิเจน | -193 | 15.7 | 
|      นีออน | -247 | 5.15 | 
|      ฮีเลียม | -269 | 0.12 | 
|      คาร์บอนเตตระคลอไรด์ | 20 | 26.8 | 
|      น้ำมันมะกอก | 20 | 32.0 | 
ตัวอย่าง12-7 วงลวดเหล็กรูปวงกลม มีเส้นรอบวง 160 มม. หย่อนให้แตะผิวของแอลกอฮอล์ ต้องออกแรงดึงเท่ากับ  7.72 ´ 10-3 นิวตัน ลวดจึงจะหลุดจากแอลกอฮอล์ได้ จงหาความตึงผิวของแอลกอฮอล์
หลักการคำนวณ ดึงวงลวดเหล็กจากผิวแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะเกาะที่ผิวด้านในและด้านนอกของขดลวด
                        g          =           =
    =           =     0.0241   N/ m
     =     0.0241   N/ m 
สภาพรูหลอดเล็กหรือสภาพคะปิลลารี (Capillary ) 
            เมื่อจุ่มท่อหรือหลอดเล็ก ๆ ลงไปในของเหลว ของเหลวภายในหลอดจะมีระดับสูงหรือต่ำกว่าระดับของเหลวรอบ ๆ ท่อหรือหลอดเล็ก ๆ นั้น  ของเหลวตรงส่วนที่ติดกับขอบภาชนะนั้นจะโค้งขึ้น เช่นน้ำในหลอดแก้วหรือโค้งลง เช่น ปรอทในหลอดแก้ว 


                                      
รูป 12-13 ของเหลวในรูหลอดแก้วเล็ก ๆ
            ของเหลวเกาะหลอดแก้วเป็นรูปวงกลม ตรงเส้นรอบวงนี้ผิวของของเหลวทำมุม q กับหลอดแก้ว เรียกมุมนี้ว่า มุมสัมผัส (Contact angle) ของเหลวในหลอดแก้วจะสูงขึ้นเท่ากับ y น้ำหนักของของเหลวที่มีความสูง y นี้จะมีค่าเท่ากับแรงตึงผิวที่แตกแรงออกไปในแนวดิ่ง
            ให้  g  เป็นความตึงผิว และ  r  คือรัศมีของหลอดแก้ว ของเหลวทำมุมสัมผัสรอบหลอดแก้วไปตามเส้นรอบวงยาว  = 2p r   
            แรงดึงขึ้นทั้งหมด               F = 2p r g  cos q   
แรงดึงลงคือน้ำหนักของของเหลวสูง  y     = mg       =  rgV      = r g p r2 y
เพราะของเหลวสมดุล        r g p r2 y          =          2p r g  cos q  
                                                y           =           ………....( 12-9)
                                ………....( 12-9)
  
            กรณีน้ำกับหลอดแก้ว มุมสัมผัสมีค่าเข้าใกล้ 0 องศา  กรณีน้ำกับหลอดเงิน มุมสัมผัสมีค่า 90 องศา นั่นคือน้ำจะไม่เกาะผิวโลหะเงิน ระดับน้ำภายในหลอดเงินกับภายนอกหลอดจะอยู่ในระดับเดียวกัน มุมสัมผัสระหว่างปรอทกับหลอดแก้วมีค่า 139 องศา ค่า y จะมีค่าติดลบ แสดงว่าระดับปรอทในหลอดแก้วจะต่ำกว่าระดับปรอทภายนอกหลอดแก้ว  ถ้ามุมสัมผัสมีค่าระหว่าง 0 ถึง 90 องศาของเหลวจะเปียกภาชนะ ถ้ามุมสัมผัสมีค่ามากกว่า 90 องศาแต่น้อยกว่า 180 องศา ของเหลวจะไม่เปียกภาชนะและผิวของของเหลวจะโค้งลง
ตัวอย่าง 12-8   หลอดเล็กที่ส่งน้ำและอาหารภายในต้นไม้ มีรัศมี 0.02 mm  ถ้า  มุมสัมผัสของน้ำกับหลอดส่งน้ำมีค่าเป็น 0  จงหาความสูงของน้ำซึ่งจะถูกยกตัวสูงขึ้น  โดยแรงตึงผิวเพียงแรงเดียว
หลักการคำนวณ          จากตาราง 12-2  ที่อุณหภูมิ 20o C  ความตึงผิวของน้ำ = 0.073  N×m-1
            แทนลงในสมการ (12-9)  จะได้
                        y           =          
                                    =           
      
                                    =          0.74  m
            ต้นไม้สูงมากกว่า 74 cm  การดูดน้ำของ ต้นไม้ไม่ได้อาศัยแรงตึงผิวเพียงอย่างเดียว 
ตัวอย่าง12-9  หลอดแก้วมีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปวงกลมมีรัศมีถึงขอบนอกเท่ากับ 0.14 ซม. ปลายปิดข้างหนึ่งใส่น้ำหนักถ่วงเพื่อให้หลอดตั้งตรงเมื่อลอยน้ำ มวลของหลอดและน้ำหนักถ่วง เท่ากับ 0.20 กรัม มุมสัมผัสระหว่างน้ำกับแก้วเท่ากับ 0 จงหาว่าปลายล่างสุดของหลอดแก้วจะอยู่ใต้ผิวน้ำเท่าใด กำหนดความตึงผิวของน้ำ 0.074  N/m ความหนาแน่นของน้ำ 103  กิโลกรัม / ลูกบาศก์เมตร
 หลักการคำนวณ
หลักการคำนวณ 
                                                                        
                                                                        จากรูป 12-14 จะได้
                                                                        mg        =           แรงลอยตัว + แรงตึงผิว
                                                                        mg        =          FB         +          FS
                                                                        mg        =          r g p r2 h    +     2p r g  
            
                                                                        แทนค่าจะได้
(0.2 ´ 10-3 ´ 9.8)           =          103 ´ 9.8´p ´(0.14 ´ 10-2 )2 h + 2´p´0.14 ´ 10-2´ 0.074 
                        h          =          0.0217 เมตร
 ตัวอย่าง12-10 แมลงเกาะนิ่งบนผิวน้ำ ทำให้ผิวน้ำตรงส่วนที่ขาแมลงแตะอยู่เว้าลงเป็นรูปครึ่งทรงกลมรัศมี 0.05 ซม. จงคำนวณหาน้ำหนักแมลง กำหนดให้น้ำหนักแมลงตกลงบนขาแต่ละข้างเท่า ๆ กัน
ตัวอย่าง12-10 แมลงเกาะนิ่งบนผิวน้ำ ทำให้ผิวน้ำตรงส่วนที่ขาแมลงแตะอยู่เว้าลงเป็นรูปครึ่งทรงกลมรัศมี 0.05 ซม. จงคำนวณหาน้ำหนักแมลง กำหนดให้น้ำหนักแมลงตกลงบนขาแต่ละข้างเท่า ๆ กัน
หลักการคำนวณ
เมื่อแมลงยืนนิ่ง    
FS         =          W / 6
                                                                        2pr g    =          W / 6
                                                                        W         =          12 pr g
| 
 | 
                                                                                    =          0.14 ´10-2 นิวตัน
12- 6  พลศาสตร์ของไหล_______________________________________         
การเคลื่อนที่ของของไหลที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแบบสม่ำเสมอเป็นระเบียบ (laminar flow) จะไม่กล่าวถึงของไหลที่เคลื่อนที่แบบปั่นป่วน (turbulent flow) ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยุ่งยากในการอธิบาย และไม่คำนึงถึงการอัดตัวของของไหลที่มีการเคลื่อนที่นั้น
สมการความต่อเนื่อง  (Continuity  equation)
            เส้นสายธารของการไหล (stream line)  หรือฟลักซ์ของการไหล  คือเส้นที่ลากสัมผัสกับทิศทางของการไหลที่ทุก ๆ จุด ในสนามการไหลในขณะใดขณะหนึ่ง
|  | 
 
                                                            
            
            รูป 12-16  a) เส้นที่ลากสัมผัสกับทิศทางการไหลที่ทุกๆจุด คือเส้นสายธาร
                           b) แสดงหลอดของการไหล  อัตราการไหลจะเท่ากันที่ภาคตัดขวางใดๆ
 
 
            ของไหลที่มีการไหลแบบสม่ำเสมอคงตัว สามารถสร้างเป็นเส้นสายธารจำนวนหนึ่ง หรือมัดหนึ่งซึ่งประกอบกันเป็นท่อหรือหลอด   เราเรียกส่วนมีรูปร่างเป็นท่อนี้ว่า  หลอดของการไหล (tube of flow)   
|  | 
            รูป 12-17   (a) , (b) และ (c)  แสดงเส้นสายธารที่ไหลผ่านสิ่งกีดขวางรูปทรงต่าง ๆ 
                                    ส่วน (d) ไหลในช่องทางที่มีพื้นที่ภาคตัดขวางแคบลง    
            พิจารณาหลอดของการไหล ซึ่งของไหลไหลเข้าผ่านพื้นที่หน้าตัด A1 ด้วยความเร็ว v1  และไหลออกผ่านพื้นที่หน้าตัด A2 ด้วยความเร็ว v2  ดังรูป 12-18  ปริมาตรของไหลที่ผ่านพื้นที่หน้าตัด A1 ในช่วงเวลา dt คือ A1v1dt  ถ้าให้ความหนาแน่นของของไหลคือ r  มวลของไหลที่ไหลผ่านพื้นที่  A1 ในเวลา dt คือ rA1v1dt  ในทำนองเดียวกัน มวลของของไหลที่ไหลผ่านพื้นที่ A2  ในช่วงเวลาเดียวกันคือ rA2v2dt  ถ้าเป็นของไหลที่อัดตัวไม่ได้ มวลที่ไหลเข้าจะเท่ากับมวลที่ไหลออก

รูป 12-18  แสดงการไหลเข้าและออกภายในหลอดของการไหล
                        
                        ดังนั้น    rA1v1dt =          rA2v2dt
                                                             A1v1      =          A2v2                   ................... (12-10)
            เรียกว่า  สมการของความต่อเนื่อง  (equation of continuity)  แสดงให้เห็นว่า ความเร็วของของไหลในท่อแปรผกผันกับขนาดพื้นที่หน้าตัดของท่อ  ผลคูณของพื้นที่หน้าตัดกับความเร็ว  (Av) คือ อัตราการไหล แทนด้วย Q
12-7 สมการเบอร์นูลลี_________________________________________
            ในหัวข้อนี้จะหาความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ความเร็วของการไหล ระยะความสูงของการไหล โดยนำทฤษฎีงาน-พลังงาน มาใช้ในการพิจารณา 
            พิจารณาของไหลที่ไม่มีความหนืด และอัดตัวไม่ได้  ไหลแบบคงตัวผ่านท่อหรือหลอดของการไหล  เข้าทางด้านซ้ายมีพื้นที่หน้าตัด A1 ด้วยความเร็ว v1  ความดัน p1 ไหลผ่านพื้นที่หน้าตัด A2  (ด้านขวา) ด้วยความเร็ว v2   ความดัน p2 ปลายท่อด้านซ้ายอยู่ที่ระยะ y1 ปลายท่อด้านขวาอยู่ที่ระยะ y2  โดยวัดจากระดับอ้างอิง  การเปลี่ยนขนาดและระดับสูงของท่อถือว่าค่อยเป็นค่อยไป เพื่อคงสภาพการไหลแบบคงตัว ดังรูป12-19

รูป12-19  งานสุทธิที่ทำบนส่วนของเหลวที่แรเงา 
         เท่ากับการเพิ่มขึ้นของพลังงานจลน์และพลังงานศักย์
            ในช่วงเวลา Dt  ส่วนเล็ก ๆ ของของไหลเคลื่อนที่ไปโดยมีปลายล่างเคลื่อนที่ไปได้ระยะกระจัด Ds1  และปลายบนเคลื่อนที่ไปได้ระยะกระจัด  Ds2  
            จากสมการของความต่อเนื่องจะได้ว่า            Dv        =          
                                                            Dv         =         A1 Ds1                =         A2Ds2  
แรงกระทำบนภาคตัดขวางที่ ปลายท่อด้านซ้าย เท่ากับ  p1A1 และที่ปลายท่อด้านขวา เท่ากับ p2A2  งานสุทธิที่ทำบนส่วนเล็ก ๆ ของของไหลนี้คือ
                                    W         =    p1A1Ds1  - p2A2Ds2  =  (p1 - p2) DV      ................... (12-11)
            เทอมที่สองติดลบเพราะแรงดันที่จุด c มีทิศสวนกับระยะกระจัด
            ปริมาตรของของไหล DV = A1Dv1  มีมวล Dm = rDV ไหลผ่านภาคตัด a  เข้าไปในหลอด  ในช่วงเวลา Dt มีพลังงานจลน์เริ่มต้น  mv12 =
mv12 =  rDV v12  ขณะที่มวลเท่ากันนี้ก็ไหลผ่านภาคตัดขวาง c ออกไปในเวลาเดียวกัน   โดยมีพลังงานจลน์สุดท้าย  =
rDV v12  ขณะที่มวลเท่ากันนี้ก็ไหลผ่านภาคตัดขวาง c ออกไปในเวลาเดียวกัน   โดยมีพลังงานจลน์สุดท้าย  =  rDV v22เพราะฉะนั้นพลังงานจลน์ที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
 rDV v22เพราะฉะนั้นพลังงานจลน์ที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
                                    DEk      =           rDV(v22 -v12)                          ................... (12-12)
rDV(v22 -v12)                          ................... (12-12)
            พลังงานศักย์ที่เปลี่ยนแปลงไปก็คิดในทำนองเดียวกันกับความเปลี่ยนแปลงของพลังงานจลน์ โดยให้ภาคตัด  a  มีพลังงานศักย์เริ่มต้น Dmgy1  =  rDVgy1  และที่ภาคตัดขวาง  c  มีพลังงานศักย์สุดท้าย   =  Dmgy2 = rDVgy2  เพราะฉะนั้น  
                        DEp      =          rDVg (y2 - y1)                                        ................... (12-13)
            จากกฎของการอนุรักษ์พลังงาน
                        W         =          DEk + DEp     จะได้
                      (p1 - p2) DV          =           rDV(v22 -      v12) +  rDVg (y2 - y1)
rDV(v22 -      v12) +  rDVg (y2 - y1)
            หรือ      p1 - p2    =          r(v22 -v12)  + rg (y2 - y1)                       .............….. (12-14)
 r(v22 -v12)  + rg (y2 - y1)                       .............….. (12-14)
            จัดรูปใหม่ได้ว่า
                 p1 + rgy1 + rv12     =          p2 + rgy2 +
rv12     =          p2 + rgy2 + rv22                      ................... (12-15)
rv22                      ................... (12-15)
เขียนให้อยู่ในรูปสมการทั่วไปได้ดังนี้
                   p + rgy +  rv2      =          ค่าคงที่                                       ................... (12-16)
rv2      =          ค่าคงที่                                       ................... (12-16)
ตัวอย่าง12-11   น้ำประปาไหลผ่านท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ซม. เข้าไปในบ้านชั้นล่าง ด้วยความดันสมบูรณ์ 4´105 ปาสคาล (ประมาณ 4 atm) ความเร็วของน้ำ 4 เมตร / วินาที ท่อถูกต่อขึ้นไปที่ห้องน้ำชั้นสองซึ่งอยู่สูงจากชั้นล่าง 5 เมตร ท่อในห้องน้ำมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. จงหาความเร็วและความดันของน้ำในห้องน้ำ
หลักการคำนวณ  ให้จุด 1 เป็นตำแหน่งของท่อชั้นล่าง จุด 2 อยู่ที่ห้องน้ำชั้น 2  v2 เป็นความเร็วของน้ำในห้องน้ำชั้น 2 ซึ่งหาได้จากสมการความต่อเนื่อง
            v2          =           =
     =           =          16  m/s
           =          16  m/s
กำหนดให้ระดับท่อชั้นล่างเป็นระดับอ้างอิง ดังนั้น  y1 = 0  ความสูงจากระดับอ้างอิงถึงห้องน้ำ คือ y2 = 5 m  เรารู้ค่า p1 , v1  สามารถหาค่า p2 ได้จากสมการเบอร์นูลลี 
p2         =    
                        =   
                        =    2.3 ´ 105  Pa
ข้อสังเกต ถ้าเราปิดก๊อกในห้องน้ำ เทอมที่ 2 ด้านขวามือจะเป็นศูนย์  ความดันจะมีค่าเพิ่มเป็น 3.5´ 105  Pa
|  | 
12-8  ความหนืด________________________________________________  
            ความหนืด(viscosity) เป็นความเสียดทานภายในของของไหล เกิดจากแรงระหว่างโมเลกุลของของไหล ให้มองภาพของของไหลเป็นเสมือนชั้นบาง ๆ  (lamina) วางซ้อนกัน แต่ละชั้นมีการไหลเลื่อนผ่านแผ่นบาง ๆ นี้  เพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดอาจเปรียบเหมือนการวางแผ่นกระดาษแข็งเรียงซ้อนกันบนโต๊ะ มีแรงเฉือน (ในแนวราบ) กระทำต่อแผ่นบนสุด  แผ่นกระดาษแข็งที่อยู่ติดกับแผ่นบนมีความเร็วคงที่ค่าหนึ่งเกือบเท่ากับความเร็วของแผ่นบนและแผ่นกระดาษแข็งถัดลงไปจะมีความเร็วลดลงสม่ำเสมอ  จนกระทั่งถึงแผ่นสุดท้ายที่ติดพื้นโต๊ะจะมีความเร็วเป็นศูนย์หรือหยุดนิ่ง
 
                        
รูป 12-20 ของไหลที่มีความหนืดไหลแบบลามินาร์
            จากรูป 12-20 ให้แรงกระทำที่มีค่าคงที่ที่ด้านมุมขวา แรงนี้จะทำให้ของไหลชั้นบนสุดเลื่อนที่ และชั้นที่อยู่ล่างถัดต่อ ๆ กันมาก็จะเลื่อนตำแหน่งตามไปด้วย เพื่อให้ของเหลวอยู่นิ่ง จึงต้องใส่แรงที่ตำแหน่งล่างซ้ายด้วย ถ้า A คือพื้นที่ของของไหลที่ถูกแรง  F กระทำ (พื้นที่ของจานที่ใส่ของไหล) อัตราส่วน F / A คือ ความเค้นเฉือนที่เกิดขึ้นที่ของไหล จากรูป จะสังเกตเห็นได้ว่าก่อนมีแรง  F กระทำ ของไหลจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม  abcd เมื่อถูกแรงกระทำแล้วของไหลบริเวณดังกล่าวเปลี่ยนแปลงรูปเป็น  abc’ d’   dd’ คือระยะที่มีการเลื่อนตำแหน่ง  เราสามารถหาความเค้นเฉือนได้จากอัตราส่วน dd’ กับ l แต่ความเค้นเฉือนทิ่เกิดขึ้นในของเหลวจะไม่มีขีดจำกัดเหมือนในของแข็ง การเปลี่ยนตำแหน่งจะเกิดขึ้นตราบเท่าที่มีความเค้นกระทำ จะเห็นว่าความเค้น ไม่ได้ขึ้นกับ ความเครียดเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องอิงอยู่กับเวลาอีกด้วย จากรูป 12-20 ความเค้นหาได้จาก  dd/ / ad  หรือ dd/ / l   แต่ l  มีค่าคงที่  อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเค้น จึงมีค่าเป็น 1 / l  คูณด้วยอัตราการเปลี่ยนแปลงของ dd/ หรือความเร็วของจุด d’  นั่นเอง ดังนั้น
            อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเค้นเฉือน (strain rate)  =   
            สัมประสิทธิ์ของความหนืด  (coefficient of viscosity, h )  หาได้จาก
                        h         =           =
            =           
   
                                    F          =          h A ................... (12-17)
                                      ................... (12-17)
จะเห็นว่าแรงเสียดทานที่เกิดจากความหนืดเป็นสัดส่วนตรงกับความเร็ว สมการนี้ใช้ได้กับของไหลที่ไหลอย่างช้า ๆ เท่านั้น 
            สัมประสิทธิ์ของความหนืด  เรียกสั้น ๆ ว่าความหนืด  ในระบบ SI มีหน่วยเป็น  N×s×m-2   ในระบบ cgs มีหน่วยเป็น 1  dyn×s×cm-2   หรือ ปอยส์  (poise) โดยที่ 1 N×s×m-2   =  10 poise
            เมื่อปล่อยทรงกลม (อาจเป็นลูกเหล็กเล็ก ๆ) รัศมี r ให้เคลื่อนที่ผ่านของไหลที่มีสัมประสิทธิ์ความหนืด h  และมี v เป็นความเร็วของทรงกลมสัมพัทธ์กับของไหล  แรงต้านการเคลื่อนที่ F คือ
                                    F          =          6p hrv                                      ................... (12-18)

รูป 12-21 ทรงกลมโลหะเคลื่อนที่ในของไหลที่มีความหนืด
            เรียกสมการ 12-18 ว่า กฎของสโตกส์ (Stokes’ law) เพราะเซอร์ จอร์จ สโตกส์  เป็นผู้พบสมการนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1845       
            ทรงกลมถูกปล่อยด้วยความเร็วต้นเป็นศูนย์  แรงต้านจากความหนืดเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเร็วของทรงกลม  ดังนั้น ตอนเริ่มต้นแรงต้านนี้เป็นศูนย์  ทรงกลมจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งและมีความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันแรงต้านเพิ่มขึ้น จนในที่สุดแรงลัพธ์ที่กระทำต่อทรงกลมเป็นศูนย์  ทรงกลมจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ความเร็วคงที่นี้เรียกว่าความเร็วสุดท้าย vT (terminal velocity)
            ความเร็วคงที่แสดงว่าทรงกลมสมดุล เพราะฉะนั้น แรงต้าน + แรงพยุง - น้ำหนักของทรงกลม = 0  ถ้าให้ r =  ความหนาแน่นของลูกทรงกลมและ  r¢  =  ความหนาแน่นของของไหล    น้ำหนักของลูกกลม  =   pr3rg  และแรงลอยตัว คือ
pr3rg  และแรงลอยตัว คือ   pr3r¢g   จะได้
 pr3r¢g   จะได้
                        6phrvT +  pr3 r¢g -
pr3 r¢g - pr3 rg      =   0
 pr3 rg      =   0
                                                vT         =           ................... (12-19)
               ................... (12-19)
            เมื่อทราบความเร็วสุดท้าย vT รัศมี r และความหนาแน่นของของไหล r¢  สามารถหาความหนืดของของไหลนั้น ได้
ตัวอย่าง12-12 จงหาความเร็วสุดท้ายของทรงกลมเหล็กรัศมี 2.0 mm ในกลีเซอรีน  กำหนดให้ความหนาแน่นของเหล็ก = 7.9 ´ 103 kg×m-3  ของกลีเซอรีน = 1.3 ´ 103 kg×m-3  และความหนืดของกลีเซอรีน = 0.833 N×s×m-2
หลักการคำนวณ          
จากสูตร vT                      =              แทนค่าต่างๆจะได้
     แทนค่าต่างๆจะได้
                        vT                     =              
                                                =              6.9 ´ 10-2 m×s-1
| 
 | ||||||||
| 
 | ||||||||
| 
 | ||||||||
| 
 | ||||||||
| 
 | 


| 
 | 


| 
 | ||||
| 
 | ||||


1.     ลูกสูบของแม่แรงไฮดรอลิก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 14 cm จงหาความกดด้นเป็นนิวตันต่อตารางเมตร เพื่อใช้ยกรถยนต์มวล 2,000 kg  [ตอบ   1.3 ´106 N/m2]
2.     ความกดดันแห่งหนึ่งดันน้ำได้สูง 60 cm แต่ดันน้ำเกลือได้สูง 50 cm ถามว่าน้ำเกลือมีความหนาแน่นเท่าใด  [ตอบ  1.2 ´ 105  kg/m3] 
3.     ไม้รูปลูกบาศก์ยาวด้านละ 0.1 m ลอยอยู่ระหว่างน้ำและน้ำมัน ดังรูป ด้านล่างอยู่ต่ำกว่าผิวสัมผัสระหว่างน้ำมันและน้ำ 0.02 m น้ำมันมีความหนาแน่น 600 kg/m3 จงหา
 
                                                                        
ก) มวลของไม้   [ตอบ   0.68 kg]
                                                                        ข) ความดันเกจที่ด้านล่างของไม้ [ตอบ  184  N/m2]
4.     วางลวดเหล็กเส้นรอบวงยาว 160 mm หย่อนไม้และแอลกอฮอล์ ปรากฏว่าต้องออกแรงดึง (อันเนื่องจากแรงตึงผิว) 7.72 ´10-3 N จึงจะดึงวงลวดออกจากของเหลวได้จงหาความตึงผิวของแอลกอฮอล์  
       [ตอบ   0.024 N/m] 
5.     หลอดคะปิลลารี ซึ่งมีรัศมีภายใน 0.3 mm จุ่มลงไปในน้ำ
            ก)  จงหาน้ำหนักของน้ำที่ขึ้นมาในหลอดเหนือระดับปกติด้วยสภาพคะปิลลารี 
     [ตอบ  1.37´10-4 N]
ข)  จงหาความสูงของน้ำในหลอด [ตอบ   49.5 mm]
6.     กาลักน้ำ มีพื้นที่หน้าตัดของท่อเท่ากับ 50 mm2 ,   h = 0.4 m
            ก) จงหาความเร็วของการไหลที่ปลายล่างของท่อ  [ตอบ  2.8 m/s]
            ข) จงหาปริมาตรของของไหลต่อนาทีที่ไหลออกไป  [ตอบ  8.4 l/min]
7.     ปีกเครื่องบินแต่ละข้างมีพื้นที่ 25 mm2 ถ้าอัตราเร็วของอากาศเหนือปีกเครื่องบินเท่ากับ 65 m/s และใต้ปีกเครื่องบินเท่ากับ 50 m/s ความหนาแน่น ของอากาศเท่ากับ 1 kg/m3 จงหาแรงยกปีกเครื่องบิน [ตอบ  21.6 ´ 103 N]
8.     ลูกสูบของแม่แรงไฮดรอลิกมีรัศมี 5 cm และ 30 cm
            ก) จะต้องออกแรงที่ลูกสูบเล็กเท่าใด จึงจะได้แรงที่ลูกสูบใหญ่ 5,000 N [ตอบ  139 N]
            ข) ความดันที่ลูกสูบใหญ่เท่ากับเท่าใด  [ตอบ  17.7 kPa]
            ค) ความดันที่ลูกสูบเล็กเท่ากับเท่าใด  [ตอบ  17.7 kPa]
9.     อัตราเร็วของน้ำในสายกระแสเท่ากับ 5 m/s ผ่านท่อช่วงแรกซึ่งมีพื้นที่หน้าตัด 480 mm2 จากนั้นท่อลดระดับต่ำลงมา 10 m และมีพื้นที่หน้าตัด 960 mm2 ถ้าให้ความกดดันในท่อช่วงแรกเท่ากับ 180 kPa จงหาอัตราเร็วของของไหลและความกดดันในท่อช่วงที่สอง [ตอบ  2.5 m/s,  287 kPa]
10.   ทรงกระบอกยาว 5 cm  พื้นที่หน้าตัด 2.5 cm2 มีความหนาแน่นเป็น 0.75 เท่าของความหนาแน่นของน้ำ เมื่อนำทรงกระบอกอันนี้ไปวางบนน้ำ อยากทราบว่าทรงกระบอกจะจมน้ำลึกกี่cm  [ตอบ   3.75 cm]
11.   น้ำแข็งมีความหนาแน่น 0.92 ´ 103 kg/m3  ลอยอยู่ในน้ำทะเลที่มีความหนาแน่น  1.04 ´103 kg/m3   จงหาว่าน้ำแข็งจมน้ำเป็นปริมาตรกี่เปอร์เซ็นต์ [ตอบ  88.5 %]
12.   แผ่นโลหะบางมากรูปวงกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 cm นำไปลอยอยู่บนผิวน้ำถ้าการที่แผ่นโลหะสามารถลอยน้ำอยู่ได้เป็นผลมาจากแรงตึงผิวอย่างเดียว จงหาว่าโลหะแผ่นนี้มีมวลอย่างมากที่สุดเท่าไร กำหนดให้ความตึงผิวของน้ำมีค่าเท่ากับ 0.072 N/m [ตอบ  1.584  g]
13.   สายยางรดน้ำต้นไม้มีพื้นที่หน้าตัดภายในของท่อ 3.5 cm2 ที่ปลายท่อข้างหนึ่งต่อกับหัวฉีดซึ่งมีพื้นที่หน้าตัด  0.25 cm2 เมื่อเปิดน้ำให้ไหลผ่านท่อ โดยคนสวนยกหัวฉีดสูงจากพื้น  1.5 m น้ำที่ไหลผ่านท่อที่วางอยู่บนพื้นมีความเร็ว  50 cm/s อยากทราบว่าความดันในท่อส่วนที่วางอยู่บนพื้นมีค่าเป็นเท่าไร (กำหนดให้ความดัน 1 atm =  105 Pa)  [ตอบ   1.39 ´ 105  Pa]
14.   ท่อนไม้ลอยในน้ำที่มีความหนาแน่น 1000 kg/m3 พบว่ามีส่วนลอยน้ำ 1 ส่วน และจมน้ำ 4 ส่วน โดยปริมาตร ความหนาแน่นของท่อนไม้นั้นเท่าใด ในหน่วย kg/m3  [ตอบ  800 kg/m3]
15.   เครื่องอัดไฮดรอลิกเครื่องหนึ่ง ลูกสูบใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8 m และลูกสูบเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ´ 10-2  m ถ้าต้องการให้เครื่องนี้ยกวัตถุมวล 2000 kg จะต้องออกแรงกดที่ลูกสูบเล็กกี่นิวตัน 
       [ตอบ   200 N]
16.   จงหาความดันบนตัวนักดำน้ำ  เมื่ออยู่ที่ระดับลึก  40 m  ในน้ำทะเล  ซึ่งมีความหนาแน่น  1030  kg/m3    [ตอบ  4.99  atm]
17.   หลอดแก้วตัวยู  ดังแสดงในรูป 12-22   บรรจุน้ำสี  ซึ่งหลอดทางด้านซ้ายต่อเข้ากับถังความดัน  ขณะที่หลอดทางขวาปลายเปิดทำให้น้ำสีในหลอดขวาขึ้นสูง   h   =  20  cm  จงหาความดันที่หลอดซ้าย  และความดันเกจ  [ตอบ  1.96 x 103  N / m]

                                                                            
                                                                            รูป 12-22
 18.   ท่อน้ำดับเพลิงดังแสดงดังรูป จงหาความเร็วของน้ำที่พุ่ง
18.   ท่อน้ำดับเพลิงดังแสดงดังรูป จงหาความเร็วของน้ำที่พุ่ง
       ออกจากปลายท่อที่ B เมื่อความเร็วของน้ำที่ A เท่ากับ 5 
       m/s กำหนดให้ เส้นผ่าศูนย์กลางของท่อ A แล B เท่ากับ
       8 cm และ 4 cm ตามลำดับ  [ตอบ  20 m/s]
 19.                                                     ของเหลว 3 ชนิด อยู่ในสภาวะสมดุลในหลอดแก้วรูปตัวยู ดังรูป
19.                                                     ของเหลว 3 ชนิด อยู่ในสภาวะสมดุลในหลอดแก้วรูปตัวยู ดังรูป
                                                         ความหนาแน่นของของเหลวชนิดที่หนึ่งและที่สองมีค่า  4 ´ 103 
                                                         และ 3 ´103 kg/m3 ตามลำดับ ความหนาแน่นของของเหลว
                                                         ชนิดที่สามมีค่ากี่ kg/m3   [ตอบ   1.4 ´ 103 kg/m3]
                                                            
20.   ถังบรรจุของเหลวซึ่งมีความหนาแน่น  r  ข้างถังมีรูเล็กอยู่สูงจากก้นถัง  y  ดังรูป 12-23  ความดันอากาศที่ผิวบนของเหลวภายในถัง  p  จงหาความเร็วที่ของเหลวไหลออกจากถังที่รูเล็ก ๆ ด้านข้าง  เมื่อของเหลวทั้งหมดมีผิวระดับบนสูงจากก้นถัง  h  [ตอบ  v = ]
]   
รูป 12-23
 



 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น